วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ใกล้สอบแล้วจะทำอย่างไรดี


ช่วงนี้มีแต่สอบกับสอบครับ ถ้าอ่านหนังสือแล้วง่วง ควรทำอย่างไร ลองดูนะครับ งุงิ แบ๊ว ๆ : อ่านหนังสือเตรียมสอบ
1 .อ่านหนังสือเตรียมสอบ 
หาสถานที่ที่เราอ่านหนังสือแล้วรู้สือสงบ  เช่น ห้องสมุดน่าจะดีที่สุดน่าครับ

ช่วงนี้มีแต่สอบกับสอบครับ ถ้าอ่านหนังสือแล้วง่วง ควรทำอย่างไร ลองดูนะครับ งุงิ แบ๊ว ๆ : น้ำผึ้งผสมน้ำมะนาวหวาน ๆ เพิ่มพลังงาน
2. น้ำผึ้งผสมน้ำมะนาวหวาน ๆ เพิ่มพลังงาน

วิธีอ่านหนังสือย่างไรไม่ให้ง่วง


เคยเป็นมั้ยครับ เวลาอ่านแล้วหลับคาหนังสือไปเลย แต่ไม่ใช่แค่นั้นน่ะครับ บางทีมันก็มาในรูปของ การหลับใน ไม่ใช่เป็นกันได้เฉพาะเวลาขับรถนะครับ สำหรับการอ่านหนังสือคือเราจะสามารถอ่านต่อไปได้ แต่ไม่รู้ตัวว่ากำลังอ่านอะไรอยู่ -*- เหมือนกับละเมอไปน่ะครับ 55+ อันนี้ผมเป็นบ่อย เอิ้กๆ อ่านๆไปเอาแต่ให้จบ แต่ถ้าถามว่าเราอ่านอะไรไปก็ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาอ่านๆไปก็พยายามถามตัวเองดูด้วยนะครับว่าเราอ่านอะไรอยู่ -*-

                วิธีการหลีกเลี่ยง “มารความง่วง
  1. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่จะนำเราไปสู่การหลับฝันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนอ่านหนังสือหรือนั่งอ่านบนเตียงเนี่ยแหล่ะ 55+ เคยเป็นมั้ยครับนั่งอ่านอยู่แล้วไถลไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นท่านอน แล้วก็หลับคาหนังสือไปในที่สุด 55+  เพราะฉะนั้นเป็นไปได้อยู่ห่างจาก เตียง หมอน โซฟา อะไรที่ให้ความรู้สึกนุ่มๆ เคลิ้มๆ หรือสร้างบรรยากาศถึงการหลับนอนอ่ะครับ ทิ้งไปให้หมด 
  2. อ่านในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เคยเห็นในหนังมั้ยครับที่แบบปิดไฟมืดๆ แล้วเรามานั่งบนโต๊ะ เปิดไฟเหลืองๆ สลัวๆอ่านหนังสือ บางคนคงแบบอย่างนี้อ่ะดีจัดบรรยากาศการอ่านหนังสือให้โรแมนติก 55+ รับรองว่าเราจะได้โรแมนติกกันถึงในฝันแน่นอนครับ เพราะว่าในการอ่านตาของเราต้อง การแสงสว่างที่เพียงพอครับ ถ้าอ่านในที่สลัวๆตาของเราจะต้องทำงานหนัก เมื่ออ่านได้สักพักก็จะเกิดอาการเมื่อยล้าของดวงตา จนต้องหลับเพื่อพักสายตาในที่สุด ดังนั้นถ้าอยากอ่านหนังสือได้นานๆ ต้องอ่านในที่สว่างไว้ครับ 
  3. step by step ครับ 

อาหารที่กินแล้วอารมณ์ดี

อยากให้คนไทยสุขภาพดี แข็งแรงและสดใสอยู่เสมอครับ

         มนุษย์เรานี้ก็ช่างสรรหาวิจัยต่างๆ นานา ถึงขั้นทำวิจัยเรือ่งอาหารกินแล้วอารมณ์ดีเลยนะครับเราคนไทยอยากกินแล้วไม่ค่อยอารมณืดีสักเท่าไรเพราะแต่ละอย่างแพงซะเหลือเกิน
- ปลาซัลมอนและแม็กคาเรล ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นซัลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้าน อนุมูลอิสระด้วย
- คาโนลาออยล์ (Canola Oil) เป็นน้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาซัลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน
- ผักโขมและถั่วสด ในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับ ประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสด ๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่…ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว
- ถั่ว Chickpeas เป็น อาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้ เพราะ มีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อย
- ไก่ เป็น อาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับ เราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้น

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิธีการเตรียมตัวก่อนสอบจ้า

1. ทบทวน ท่อง ทฤษฎีบทหรือนิยาม ของบทเรียนที่จะมีการสอบให้ได้อย่างขึ้นใจ ชนิดที่ว่าแม้พิสูจน์โจทย์ข้อสอบนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแสดงความสัมพันธ์ของโจทย์กับทฤษฎีบทหรือนิยามนั้น ๆ ให้อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบอ่านได้อย่างถูกต้อง รับรองว่าต้องได้คะแนนข้อนั้นอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับลายมือผู้สอบจะเขียนได้สวยแค่ไหน
2. ทบทวนแบบฝึกหัดทุกข้อ ที่อาจารย์ผู้สอนชอบย้ำนักหนาในห้องว่า “ข้อสอบก็ออกในแนวนี้ละ” หรืออาจารย์บางท่านก็พูดย้ำตรง ๆ เลยว่า “ข้อนี้ออก…………นะ” ดังนั้นเวลาเรียนถ้าเจออาจารย์พูดแบบนี้ ก็อย่าลืมเอาปากกาแดงทำ * กา ไว้ที่แบบฝึกหัดข้อนั้นให้ใหญ่ ๆ เลยทีเดียว รับรองไม่พลาด ถ้าข้อไหนทวนหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ให้ฝึกเขียนหลาย ๆ ครั้งจนจำขึ้นใจ
3. เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จะใช้ในการสอบให้พร้อม ข้อนี้สำคัญมากนะเพราะจะได้ไม่ต้องไปยืมชาวบ้านเค้า และต้องเข้านอนแต่หัวค่ำทำใจให้ผ่องใส อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิทำใจนิ่ง ๆ ว่าง ๆ ก่อนนอนสัก 5 นาที จะทำให้ใจสงบและหลับอย่างเป็นสุข พร้อมจะเผชิญอุปสรรคของวันใหม่
4. ตื่นนอนตี 5 ของวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาให้สดใส ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด ตลอดจนทฤษฎีบท แบบฝึกหัด (ที่ทบทวนไปเมื่อวาน) โดยอ่านแบบผ่าน ๆ สายตา ความเงียบสงบของเช้าตรู่จะช่วยให้จำได้ดี

วิธีการลับสมองให้ฉลาดอย่างง่ายๆ


วิธีการลับสมองให้ฉลาดอย่างง่ายๆ




วิธีการลับสมองให้ฉลาดอย่างง่ายๆ

 







       สมองของคนเรามีน้ำหนักประมาณเพียง 1.4 กิโลกรัม แต่นับว่าเป็นอวัยวะส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย เพราะหากสมองไม่ทำงาน เราจะกลายเป็นเจ้าหญิงหรือ เจ้าชายนิทราไปโดยปริยาย โรคที่นับว่ากำลังสร้างสถิติการตายมาเป็นอันดับต้นๆ ในเวลานี้ คือโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม กล่าวกันว่า คนอเมริกันใน 8 คนจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ 1 คน นอกเหนือจากการออกกำลังกายที่จะมีส่วนช่วยแล้ว ยังมีวิธีการลับสมองที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆที่ใครๆก็สามารถทำได้ดังนี้    
       การลับสมองส่วนความจำ 
สมองส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการควบคุมกิจกรรมความจำทั้งหมด รวมถึงการอ่าน การมีเหตุผล การคิดไตร่ตรอง การสืบค้น และการตัดสินใจ เมื่อเราเริ่มมีอาการหลงลืม หรือมีการตัดสินใจผิดพลาด เราควรเริ่มการฝึกสมอง วิธีการง่ายๆที่จะช่วยคือ การหยิบสิ่งของในที่มืด การปิดไฟเข้าห้องน้ำ การแต่งตัวในที่มืด การรับประทานอาหารโดยใช้มือที่ไม่ถนัด หรือการเลือกฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้ เพราะไม่แต่เพียงฝึกความจำเท่านั้น ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับสมองด้วยเพราะสารเอ็นโดฟินหรือสารแห่งความสุขจะหลั่งออกมาด้วยในเวลาเดียวกัน    
       การลับสมองส่วนภาษา
หรือสมองส่วนการเรียนรู้ทั้งความจำและความเข้าใจด้านหลักภาษา คำศัพท์ หลักไวยากรณ์ และความคล่องตัวในการใช้ภาษา วิธีการง่ายๆที่จะฝึกสมองส่วนนี้คือ หากเราชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ลองเปลี่ยนเป็นนิตยสารบ้าง หรือเปลี่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านเป็นประจำเป็นคอลัมน์อื่นๆบ้าง เช่น ชอบอ่านคอลัมน์การเมือง อาจเปลี่ยนเป็นคอลัมน์สุขภาพบ้าง เป็นต้น การอ่านป้ายโฆษณา หรือ จากถุงใส่ของกลับบ้าน ก็นับว่าเป็นวิธีเพิ่มพูนทางภาษาที่สนุกไม่ใช่น้อย การดูทีวี ที่มีสองภาษา หากอ่านคำแปลที่กำกับมาด้วย ก็นับว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะได้รับความรู้เพิ่มเติมแล้ว ยังช่วยเพิ่มคำศัพท์ใหม่ๆและเรียนรู้วิธีการเขียนที่แตกต่างกันอีกด้วย
    
       การลับสมองส่วนสมาธิ
สมองส่วนสมาธินี้จะควบคุมและสั่งการให้เราสามารถทำภารกิจหลายๆอย่างได้ในเวลาเดียวกัน หรือถ้าในขณะที่ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หากมีสิ่งใดมาขัดจังหวะหรือรบกวน สมองส่วนนี้ก็จะมีหน้าที่ให้เราสามารถทำกิจกรรมนั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้ วิธีการลับสมองส่วนนี้คือการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่เคยทำเป็นประจำ เช่น จัดห้องครัวใหม่ เปลี่ยนที่วาง จาน ช้อนส้อมที่ใหม่ แล้วฝึกสมองให้สามารถจำที่ใหม่ได้ หรือการบวกลบเลขท้ายรถของรถคันข้างหน้า ในขณะที่ขับรถ เป็นต้น    
       การลับสมองด้านการมองเห็น และมิติสัมพันธ์
 คือสมองส่วนทิศทางและการสังเกตนั่นเอง วิธีง่ายๆในการลับสมองส่วนนี้คือ เมื่อไปเที่ยวสถานที่ใดที่หนึ่ง ให้จดจำว่าเราเดินไปที่ใดก่อน และทำกิจกรรมอะไรที่ใดบ้าง และเมื่อเรากลับออกมาเราเดินออกประตูไหน หลังจากนั้นเมื่อกลับไปสถานที่เดิมนั้นอีกให้ทำกิจกรรม ก่อนหลังตามลำดับอย่างที่เคยทำมาในครั้งที่มาครั้งแรกเป็นต้น หรือในขณะทีกำลังรอเพื่อน ให้ฆ่าเวลา โดยการมองไปข้างหน้าโดยใช้เวลาประมาณ2-3นาที แล้วเขียนลงบนกระดาษว่าเราเห็นสิ่งใดบ้าง คว่ำกระดาษที่เขียนลงแล้วลองเขียนอีกครั้งดูสิว่าจะได้ครบตามจำนวนเดิมหรือไม่    
       การฝึกสมอง โดยวิธีการลับสมองนั้นเป็นวิธีสร้างและขยายเซลล์ต่างๆในสมอง ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเชื่อมโยงประสานสัมพันธ์กัน เป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ ลองฝึกทำดูนะคะ เพราะหากรอยหยักในสมองเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็หมายความว่าเราฉลาดมากขึ้นเท่านั้น

9 เทคนิคการฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ

สมองคือส่วนสำคัญที่สุดของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมอง

ควันธูปภัยร้ายใกล้ตัว


ธูปทำมาจากขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมสกัดจากพืช ใบไม้ เปลือกไม้ รากไม้ เมล็ดพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมพอกอยู่บนก้านไม้
ธูปมีหลายรูปแบบ หลายขนาด ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่มาก ๆ สามารถเผาไหม้หมดได้ในเวลา 20 นาที ถึง 3 วัน 3 คืนก็มี คาดว่า มีคนจุดธูปทั่วโลกปีหนึ่ง ๆ เป็นหมื่น
ถึงแสนตัน
การเผาไหม้ของธูปจะปล่อยสารต่าง ๆ มากมาย มีทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ มีเทน และสารก่อ
มะเร็งหลายชนิด เช่น สาร PAH ซึ่งพบว่า มีความสัมพันธ์กับมะเร็งปอด ผิวหนัง และกระเพาะปัสสาวะ , สารเบนซีน สัมพันธ์กับมะเร็งเม็ดเลือดขาว และสาร 1,3-บิวทาไดอีน
สัมพันธ์กับมะเร็งของระบบเลือด
นอกจากควันธูปเป็นมลพิษทางอากาศที่สำคัญในบ้าน อาคาร สถานที่ทำงาน วัด และศาลเจ้าที่มีการจุดธูปแล้ว การจุดธูปยังถือเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมในกิจวัตร
ประจำวันของมนุษย์ ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย
การจุดธูปเป็นวัฒนธรรมที่มีรากฐานจากความเชื่อที่มีมาแต่โบราณสืบทอดต่อ ๆ กันมาว่า ทำให้สิ่งที่เราสักการะรับทราบถึงการกระทำของเรา การจุดธูปนั้นก่อให้เกิด
ความสุขทางจิตใจ แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึงคือ การส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน และอาจทำให้เกิดโรคมะเร็ง
เราควรจะปรับเปลี่ยนความเชื่อและพฤติกรรมนี้ใหม่ โดยหันมาคำนึงถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและตัวเรา ด้วยการรณรงค์ให้ทั่วโลกลดการจุดธูปโดยเริ่มจากคนไทยก่อน
ทางเลือกใหม่…ใส่ใจสุขภาพ
1.ใช้ธูปที่มีขนาดสั้นลง หรือเป็นแบบชนิดไฟฟ้า
2.หากจำเป็นต้องจุดธูป ควรตั้งกระถางธูปไว้ภายนอกอาคารที่อากาศถ่ายเทสะดวก
3.จุดธูปแล้วรีบดับ โดยจุ่มลงในน้ำหรือทราย
4.อาจสักการะได้โดยการพนมมือ หรือถือธูปไว้ แต่ไม่จุด แล้วระลึกถึงสิ่งที่เราจะสักการะ
5.การไหว้พระออนไลน์ ซึ่งเราสามารถจุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ ปิดทองพระ ท่องบทสวด ภาวนาจิตผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้
หากทุกคนช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็เป็นคนหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยมลพิษ และก๊าซเรือนกระจก
ลดภาวะวิกฤติโลกร้อน และยังช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งลงได้

 ที่มา: www.xn--q3ctbz5akd1duhna.com/


วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

วันตรุษจีน 2554 chinese new year 2011

เทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2554 ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554

chinese new year 2011

“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้

ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ”

ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย


นับเป็นประเพณีนิยม ในวันตรุษจีน ที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชนชาติจีนแผ่นดินใหญ่และพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน นั่นแสดงว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะมีงานรื่นเริง การสวมใสเสื้อสีแดงสด อันเป็นสีที่เป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวจีน อาจจะบอกดว่าเป็นวันครอบครัว ที่จะได้พบปะสังสรรค์ กินเลี้ยงอย่างมีความสุข
…อันเป็นวันที่เปี่ยมไปด้วยการให้ทาน การทำบุญทำกุศล หรือแม้กระทั่งที่วัดจีนประชาสโมสร ก็มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทำทานในวันขึ้นปีใหม่ นำมาซึ่งความปิติ-มีความสุขเปี่ยมล้น มีผลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ทำงาน-ค้าขายให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป…

http://www.bloggang.com/data/saladang/picture/1171699155.gif
เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน